2554/04/11

ค. ครูอดทน


Adele Ridder เป็นครูชาวเยอรมันคนแรกของดิฉัน เป็นผู้หญิงร่างเล็ก อายุประมาณ 40 กว่าๆ เธอเคยเป็นพยาบาลมาก่อนหน้าที่จะมาเป็นครู โดยเริ่มจากการสอนภาษาเยอรมันให้แก่ชาวต่างชาติ แบบตัวต่อตัว (private) ดิฉันรู้จักโดยการแนะนำจากเพื่อนของสามีดิฉัน ตั้งแต่ สิงหาคม ปี 1999 ดิฉันได้เริ่มเรียนภาษากับเธอและได้เรียนรู้ตั้งแต่เริ่มแรกเกี่ยวกับการออกเสียง ภาษาเยอรมันจะคล้ายๆ กับภาษาอังกฤษแต่ออกเสียงไม่เหมือนกัน และแถมยังมีตัวสระ ที่เค้าเรียกว่า "umlaut" (อุมเล่าท์) เมื่อวางลงบนตัวอักษรจะผันเสียงต่างกัน
Adele เธอเป็นคนแข็งแกร่งและอดทนคนหนึ่ง เธออดทนและพยายามทนสอนดิฉัน เพราะการออกเสียงให้คนฟังรู้เรื่องและถูกต้องนั่น ยากเหลือเกินสำหรับดิฉัน มีอยู่คำหนึ่ง Ich (อิงค์) แปลว่า ฉัน ดิฉันใช้เวลาถึง 2 เดือน กว่าจะออกเสียงให้เหมือนได้ มันเหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่าย "อิง" และมี "ค์" อยู่ในลำคอ ผสมกันจนเป็น Ich
ความอดทนของครูดิฉันทำให้ดิฉันเกิดความเลื่อมใส และทำให้ดิฉันมุ่งมั่นมากขึ้น แถมประหยัดเงิน และประหยัดเวลาได้อีก และต่อมาดิฉันก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งในเมืองที่ดิฉันอยู่ ดิฉันสามารถเดินไปโรงเรียนได้ การเรียนใน class เมืองนอก นักเรียนจะกล้าถามและกล้าแสดงออก ถึงแม้ดิฉันจะคุ้นเคยอยู่บ้าง ตั้งแต่สมัยเรียนที่อังกฤษ แต่ดิฉันก็ยังปลูกฝังตั้งแต่เด็กจนโต นิสัยเด็กไทยจะขี้อาย ไม่กล้าถาม เกรงใจ กลัวครูดุ ไปเรียนที่นี่แรกๆ ดิฉันจึงไม่กล้าซักถามในห้องเรียน Adele จึงเป็นครูสอนพิเศษให้กับดิฉัน อาทิตย์ละ 2 วัน ดิฉันจะถามเธอทุกอย่างที่ดิฉันสงสัย และเธอก็จะมีวิธีการสอนทำให้ดิฉันจำได้ หรือการวิเคราะห์คำบางคำที่เราไม่ทราบ เราสามารถแกะคำและความหมายที่เราไม่ทราบได้ โดยการวิเคราะห์คำทีละพยางค์
บางครั้งดิฉันไม่เข้าใจและเธอสอนเป็นภาษาเยอรมัน เธอก็จะอธิบายให้ดิฉันฟังเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งทำให้ดิฉันเข้าใจมากขึ้น ดิฉันเรียนที่โรงเรียนจนจบภาษาชั้นสูง Adele เป็นครูสอนพิเศษให้ดิฉันตลอด ปกติเธอจะมาสอนที่บ้าน แต่ระยะหลัง เราจะเปลี่ยนบรรยากาศย้ายไปเรียนตามร้านกาแฟ นั่งคุยกันบ้างเรียนบ้าง จะเธอกลายเป็นเพื่อนสนิทไป 4 ปีกว่าที่ดิฉันรู้จักกับเธอ ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น ดิฉันได้เรียนวัฒนธรรมและนิสัยคนเยอรมันจากเธอ และเธอก็จะพยายามเรียนรู้วัฒนธรรมของดิฉัน ซึ่งเธอจะสอดแทรกเข้าไปในเวลาเรียน เดี่ยวนี้ดิฉันไม่ได้เรียนภาษากับเธอแล้ว แต่เธอก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีของดิฉัน เราก็ยังนัดกันไปทานกาแฟกัน หรือนัดทานข้าวกัน เป็นบางครั้ง และเธอยังเป็นเพื่อนให้ดิฉันในยามที่ดิฉันมีคำถาม ถึงแม้ความคิดความอ่านเธอกับดิฉันจะคนละแบบ แต่เราก็เข้าใจกัน 
นี่แหละค่ะ ครูเยอรมัน และดิฉันก็ยกให้เธอเป็น ค.ครูอดทนของดิฉัน

2554/04/08

งาน


การหางานที่ดีในเมืองนอกทำนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นอกจากคุณจะต้องเรียนจบจากที่นี่ คุณถึงจะมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น การทำงานถือเป็นการหาประสบการณ์อย่างหนึ่ง การเริ่มจากงานที่ดีเลยนั้นคงเป็นเรื่องยาก ดิฉันจึงคิดว่าเราจะต้องเริ่มต้นจากงานอะไรซักอย่าง แล้วสะสมประสบการณ์เพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้งานที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ว่าไปแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
พอดิฉันจะพูดภาษาเยอรมันได้บ้างดิฉันก็เกิดอยากจะทำงาน งานแรกของดิฉัน คืองานห่อของขวัญในช่วงคริสมาสต์ ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งของที่นี่ เพราะด้วยความรักสายงาน ดิฉันจึงว่างานนี้คงเหมาะสำหรับดิฉัน ดิฉันถูกส่งไปทำงานที่แผนกเครื่องสำอางและน้ำหอม ตามสัญญา 1 เดือน ช่วงคริสมาสต์ คงไม่ต้องบอกว่าลูกค้าจะมายมายขนาดไหน เพราะเวลาคนเรานึกอะไรไม่ออก ก็จะนึกถึงน้ำหอมเป็นอันดับแรก ช่วงโอกาสนี้น้ำหอมจึงขายดีนักหนา ด้วยความที่นิสัยส่วนตัว จะไม่ชอบรอ และไม่ชินกับการรออะไรนานๆ เพราะบ้านเราจะบริการรวดเร็ว และยอดเยี่ยมที่สุด การรอจึงไม่ใช่ความเคยชินของดิฉัน ในทางกลับกัน ดิฉันจึงคิดว่าลูกค้าคงไม่อยากจะมารอนานเหมือนกัน ดิฉันมีเพื่อนร่วมงานอีก 1 คน เป็นคนชาวเตอร์กี (Turkey) อายุประมาณ 18 เธอจะทำงานช้ามากๆ เสมือนว่าลูกค้าจะรอก็รอไปเถอะ และเมื่อเธอเห็นดิฉัน พยายามทำงานอย่างรวดเร็ว และสวยงาม ปัญหาต่างๆ มากมายจึงตามมา การไม่ชอบหน้าดิฉันจึงเกิดขึ้น ทั้งที่ดิฉันพยายามในสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ดีที่สุด แต่ก็ไม่วายเกิดการกลั่นแกล้งในการทำงานในแผนก ดิฉันต้องยืนทำงานตั้งแต่ 11.00 ถึง 20.00 น. พัก break 1 ชั่วโมง ต้องห่อของขวัญจนมือเจ็บ และจะต้องโดนเพื่อนร่วมงานรวมกันไม่ชอบหน้า คนที่ดีกับดิฉันก็ไม่กล้าเข้าใกล้ดิฉัน คนไม่เคยคุยกันก็พาลไม่ชอบไปด้วย จะมีแต่เจ้านายที่รักดิฉัน และเข้าใจดิฉัน ดิฉันไม่เคยคิดว่าทำงานกับผู้หญิงที่นี่จะยุ่งยากขนาดนี้ การทำงานหนักบวกกับความเครียดและร่างกายอันอ่อนแอของดิฉัน ดิฉันจึงทำงานได้เพียง 7 วัน ดิฉันจึงล้มป่วยลง ดิฉันไปขอลาออกจากงาน และนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีก 2 อาทิตย์ ทานยาต่อเนื่องอีก 1 ปี ประสบการณ์นี่ไม่เคยลืมไปจากดิฉัน ชีวิตการทำงานและความเป็นอยู่ที่นี่จะต้องอดทน สารพัด 
ดิฉันอาจจะต้องใช้เวลาเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับสภาพและสถานการณ์ของแต่ละที่ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับดิฉันที่จะเปลี่ยนแปลง

Beer


เมื่อพูดถึงเยอรมัน ต้องพูดถึง German Beer เป็นอะไรที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ดิฉันคิดอยู่เสมอว่า เบียร์เป็นอะไรที่เหมาะสำหรับผู้ชาย และผู้หญิงไทยดูจะไม่เหมาะนักสำหรับการนั่งดื่มเบียร์ 
ที่เยอรมันเมื่อถึงเวลา summer ผู้คนจะมาพากันนั่งดื่มเบียร์ หรือที่เรารู้จักกันดีว่า Beer garden ซึ่งจะมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ร้านบางร้านจะผลิตเบียร์เป็นของตัวเองกันเลยทีเดียว เช่นเดียวกับร้านนี้ Rat Keller เป็นร้านเบียร์ที่มีชื่อใน Darmstadt เค้าผลิตเบียร์เองและมีหลากหลายชนิดให้เลือก เช่น Pilz, Apfel Bier, Dunkel Bier etc. พอตกบ่ายๆ หลังเลิกเรียน เพื่อนๆ ของดิฉันก็จะชวนกันไปนั่งร้านนี้ เพราะอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก
เริ่มแรกดิฉันไม่เคยดื่มเบียร์ และรู้สึกว่าเบียร์มันขม, ดิฉันเห็นผู้หญิง คนแก่ คนหนุ่มสาว นิยมดื่มเบียร์กัน การดื่มแอลกอฮอล์ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อเพื่อนดิฉันทุกคนพากันดื่ม เข้าเมืองตาหลิวก็ต้องหลิวตาตาม ความเป็นกุลสตรีดิฉันจึงหายไป ดิฉันจึงเริ่มหัดดื่มเบียร์ เพื่อเข้าสังคม Pilz เป็นเบียร์ที่ดิฉันลองหัดดู รสชาติกลับไม่ขมอย่างที่คิด อร่อย เย็นๆ เข้ากับบรรยากาศ summer ร้อนๆ ซึ่งสมควรอย่างยิ่งที่จะดื่มเบียร์ บางคนอาจจะนึกไปถึงไอติม ก็ช่วยคลายร้อนได้ ใช่ค่ะ แต่ตอนนี้เรากำลังพูดถึงเบียร์ เพราะฉะนั้น Summer + เบียร์เย็นๆ เป็นอันว่าเข้ากัน ทุกๆ Summer ดิฉันและเพื่อนๆ ก็จะนัดกันไปนั่งร้านนี้เหมือนๆ ทุกหน้าร้อน เค้าจะจัดโต๊ะ ประมาณ 10 โต๊ะ เป็นโต๊ะไม้ยาว ตั้งอยู่นอกร้าน และมีร่มกางกันแดดเป็นจุดๆ จากที่ดิฉันเคยเกลียดและกลัวแดด ก็ไม่กลัวอีกต่อไป จากดื่มเบียร์ไม่เป็น ก็เริ่มชักจะชอบเข้าแล้ว ต่อไปจะเป็นอะไรต่อไปล่ะค่ะเนี่ย

2554/04/07

Gluhwein


การดื่มไวน์ เป็นการดื่มเพื่อเข้าสังคมก็อย่างหนึ่ง หรือจะดื่มเพื่อสุขภาพให้เลือดสูบฉีด หรือบางทีอาจจะดื่มด้วยความเท่ก็แล้วแต่ ดิฉันได้เรียนด้านการดื่มไวน์ตั้งแต่ครั้งเรียนด้านอาหารที่เมืองไทย เช่น ไวน์แดงดื่มทานคู่กับพวกเนื้อสัตว์ และไวท์ขาวก็ควรคู่กับอาหารประเภทปลา แป้ง Seafood หรือผู้หญิงบางคนนิยมดื่ม Rosa' ก็อร่อยดี ด้วยความคิดที่ว่าเมื่อสั่งอหารก็ควรจะมีไวน์ดื่มควบคู่ไปด้วย นอกจากจะดูเข้ากันดีแล้ว การดื่มแอลกอฮอล์นิดหน่อย ก็ช่วยให้เลือดหมุนเวียนดี 
ระยะหลังดิฉันเริ่มมีอาการความดันตำ่ ดิฉันจึงหันมาดื่มไวน์ทุกวัน วันละ 1 แก้ว เพื่อสุขภาพ ไวน์ก็มีหลายแบบหลายประเภท คุณอยากทราบรายละเอียดก็ต้องไปอ่านหนังสือด้านไวน์ดูล่ะค่ะ ถ้าคุณอยากจะทราบลึกๆ โดยส่วนตัวแล้วดิฉันจะชอบดื่ม Red wine (dry) ซึ่งจะไม่หวานมากนัก การดื่มไวน์ในยุโรปถือเป็นเรื่องธรรมดา เสมือนเด็กดื่มนม ไวน์จึงมีราคาไม่แพงนัก แล้วแต่คุณภาพ ยี่ห้อ ประเทศผลิต ฤดูเก็บเกี่ยว ปีพ.ศ. ไวน์ถูกๆ อร่อยๆ ก็มี ตั้งแต่ 3 - 4 ยูโร ขึ้นไป แต่ที่ดิฉันเห็นจะแปลกหูแปลกตาไปก็ตอนช่วง Christmas เค้าจะจัด Weihnauhtsmarkt (ตลาดคริสมาสต์) ซึ่งจะมีกันทั่วๆ ไปทุกๆ เมือง จะมีร้านอาหารหลายๆ ร้านมาขาย แต่ที่สำคัญที่สุด คนจะนิยมมาดื่ม Gluhwein (กลูไวน์) เป็นไวน์ชนิดหนึ่ง แต่จะเป็นไวน์ร้อน ร้อนเหมือนน้ำชานี่แหละค่ะ แต่เป็นไวน์ รสชาติเป็นอย่างไรบอกไม่ถูกค่ะ คงต้องลองมาชิมกัน หรือจะเอาไวน์ไปลองต้มชิมดู ก็คงจะไม่เหมือนเท่าใดนัก เมื่ออากาศหนาวเย็น ผู้คนจึงนิยมออกมาดื่ม Gluhwein กัน สามารถช่วยคลายความหนาวได้ดีทีเดียว แก้วนึงก็แค่ 3 ยูโร เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่คนจะนิยมยืนดื่มนอกร้านกันด้านนอก รับความหนาวกันเต็มๆ โดยจะมีโต๊ะกลมเล็ก สำหรับวางอาหารและแก้วไวน์ หรือจะเป็นโต๊ะเหลี่ยมยาว สำหรับผู้ที่มากันเป็นกลุ่มใหญ่ แก้วจะเสริฟด้วยแก้ว เซรามิค น่ารักลายคริสมาสต์ โดยจะมีการมัดจำแก้ว 3 ยูโร เวลาคุณนำแก้วไปคืน คุณก็จะได้สตางค์คืน หรือบางคนอยากจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก เพราะความน่ารักของแก้ว ก็ต้องเสียค่ามัดจำไป 
หน้าหนาวดิฉันไม่หนาวอีกต่อไปแล้ว เพราะดิฉันมี Gluhwein คลายหนาวค่ะ

Cafe'


ร้านกาแฟมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง เรียกกันว่าทุกๆ มุมถนน บางถนนมีติดกัน 5 - 6 ร้านก็มี จนบางครั้งดิฉันแถบจะอดคิดไม่ได้ว่าจะดื่มอะไรกันนักหนา ดิฉันเริ่มรู้จักการดื่มกาแฟครั้งแรกจากที่อังกฤษ จริงๆ แล้วดิฉันควรจะไปรู้จักการดื่มชาจากที่นั่นซะมากกว่า การดื่มชาหรือกาแฟก็แล้วแต่ นอกจากจะดื่มเพื่อรสชาติ ก็ยังดื่มดำ่บรรยากาศด้วย ร้านชาหรือกาแฟจึงได้ตกแต่งบรรยากาศอย่างเก๋ไก๋ บางทีก็มีเป็นเคาน์เตอร์ไว้ยืนดื่ม สำหรับผู้ที่นั่งทำงานมาทั้งวัน คงจะเหมาะเป็นที่สุด บางทีก็มีที่นั่งเป็น sofa ให้นั่งสบาย นั่งแล้วแทบไม่อยากลุกเลย และมีการตกแต่งร้านประดับประดาตามเทศกาล เช่นกัน เช่น หน้า Christmas เค้าก็จะมีบรรยากาศแบบ Christmas ตกแต่ง มีลูกบอล Christmas หรือ ต้น Christmas ตกแต่ง ให้ดื่มดำ่บรรยากาศกัน
ดิฉันเริ่มดื่มกาแฟก็เนื่องจากแฟนพี่ชายของดิฉัน พี่เจี๊ยบ เธอไปเยี่ยมดิฉันที่อังกฤษ และเธอจะชอบนั่งร้านกาแฟ ดิฉันก็ต้องพาเธอไปนั่งทุกวัน และดิฉันก็สั่งแต่น้ำส้มคั่นทุกครั้งไป เธอก็เลยแนะนำให้ดิฉันดื่ม cappuccino ดิฉันจึงเริ่ม จากดื่ม cappuccino ใส่น้ำตาล 5 ซอง เพราะดิฉันรู้สึกมันขมซะเหลือเกิน จากนั่นก็เริ่มพัฒนาลดความหวานจาก 5 เป็น 4 - 3 - 2 - 1 จนเดี่ยวนี้ดิฉันดื่มกาแฟจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว และจะใส่แต่ diet sugar แทนเพื่อเลี้ยงน้ำตาล สิ่งที่ดิฉันสงสัยมานานว่าทำไม คนถึงชอบนั่งร้านกาแฟ และต่อมาดิฉันก็ได้คำตอบว่า เนื่องจากอากาศที่นี่จะหนาวซะเป็นส่วนใหญ่ การดื่มชา กาแฟถือเป็นการเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย หรือจะเอาไว้พบปะเพื่อนฝูง นั่งคุยกัน เพราะราคาของกาแฟ 1 ถ้วยจะอยู่ประมาณ 2 - 2.5 ยูโร หรือมากกว่า จะแล้วแต่ความหรูของร้าน ถ้าเป็น Latte machiato คือกาแฟใส่นมมากๆ นั่นแหละค่ะ ดิฉันจะโปรดมาก ราคาก็จะประมาณ 2.5 - 3.0 ยูโร หรือจะเป็น Milch kaffee  กาแฟใส่นมแต่เสริฟในถ้วยแก้วใหญ่ คล้ายๆ กับถ้วยซุป ราคาต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับชนิดและแบบของกาแฟ หรือถ้าเป็นหน้า Summer เค้าก็จะมี Eis kaffee คือกาแฟใส่ไอศรีม อร่อย หวาน มัน หรือจะเลือกเป็น Eis chocolate คือชอกโกแลตใส่ไอศรีม สำหรับผู้ที่ไม่ชอบกาแฟ ซึ่งก็อร่อยไม่แพ้กัน เพราะฉะนั้นการนัดกันร้านกาแฟ จึงถูกกว่านัดรับประทานอาหารกัน ซึ่งจะเสียเงินมากกว่านั่นแหละค่ะ ร้านกาแฟจึงขายดี บวกกับมี cake ขนมพายต่างๆ ให้ทานคู่กัน cake ยอดนิยมเห็นจะเป็น Sacher torte ต้นตำรับมากจากเมือง Wien เป็นคล้ายๆ กับเค้กชอกโกแลตนะค่ะ อ้าว! วันนี้คุณไปร้านกาแฟแล้วรึยังค่ะ?

Park


สวนสาธารณะหรือที่ดิฉันเรียกจนติดปากว่า park ด้วยเหตุผลที่ว่ามันสั้นและเรียกง่ายดี park มีอยู่ทั่วๆ ไปทั้งในเมืองและรอบเมือง ใน Darmstadt ทุกๆ park จะร่มรื่นมีต้นไม้ใหญ่มากมาย ในวันอาทิตย์ห้างร้านจะหยุดกัน เงียบและเหงา สามีดิฉันจึงชวนพากันไปเที่ยว park ไปเดินเล่น ถือว่าเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง
park ที่เราไปเดินกันประจำ อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองนัก ขับรถประมาณ 5 นาทีก็ถึง ชื่ออะไรดิฉันก็จำไม่ได้ มีสระน้ำกว้างมาก เป็นธรรมชาติ จะมีพวกเป็ดว่ายลอยอยู่ในน้ำ พากันว่ายเป็นฝูง หน้าหนาว ต้นไม้จะถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งจาก snow น้ำในสระก็กลายเป็นนำ้แข็ง ผู้คนก็พากันมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งกันในบ่อน้ำนี้ ส่วนหน้าร้อนก็จะมีเรือให้เช่าถีบกัน
ดิฉันชอบที่จะเห็นผู้คนเดินมากันเป็นคู่ คนแก่คนเฒ่าเดินจูงมือกันมาเดิน หรือครอบครัว หนุ่มสาวจะเข็นรถเข็นพาลูกน้อยออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ และเค้าก็จะมีสนามเด็กเล่น ที่พื้นเป็นทราย ดูแล้วเป็นอะไรที่เหมาะกับเด็กมาก ดิฉันและสามีจะพากันเดินรอบ park เดินครั้งแรกเล่นเอาดิฉันเหนื่อย เพราะดิฉันไม่คุ้นกับมันสักเท่าไหร่ ดิฉันก็เดินไปบ่นไปกว่าจะพาตัวดิฉันเดินได้ครบรอบได้ แต่ก็แปลก ถ้าดิฉันเดินตามห้างล่ะก็ ถึงไหนถึงกัน แต่เมื่อคนเราทำอะไรประจำก็จะติดเป็นนิสัย ดิฉันจะไปเดินกันเกือบจะทุกวันอาทิตย์ คือถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ ดิฉันและสามีก็จะชอบเดิน park ได้เห็นธรรมชาติและได้รับอากาศบริสุทธิ์ เดี๋ยวนี้ดิฉันกลับชอบเดินในสวนสาธารณะ
ถ้าเวลา summer พวกเพื่อนๆ ของดิฉันก็จะนัดกันไป picnic ใน park ทำอะไรไปทานกัน เอาเสื่อไปปูนั่ง เอาน้ำดื่ม นั่งคุยกัน ดิฉันก็จะรีบจับจองใต้ร่มไม้ เพราะความที่ดิฉันเกลียดแดดเป็นชีวิตจิตใจ แต่อากาศที่นี่ร้อนก็ไม่ได้ร้อนมากมาย ประมาณว่า 25 - 27 องศา นั่งกำลังสบายๆ ส่วนเพื่อนฝรั่งของดิฉันก็จะพากันนั่งอาบแดด ไปในตัว พวกเธอจะชอบให้ผิวเป็นสีแทน เค้าว่ากันว่ามันส่งผลถึงการมีสุขภาพดี และได้รับ vitamin A,D จากแสงแดดอีกต่างหาก แต่สำหรับดิฉันไม่นิยมกับเค้าด้วยหรอกค่ะ ดิฉันขอแบบเฉียดๆ จะดีกว่า จะเห็นว่า park มีแต่ประโยชน์และผลดีกว่าเดินห้างและไม่ต้องเสียเงินซื้อของ และสุขภาพดีอีกค่ะ

2554/04/06

ถังขยะ


ของเน่า ของเสีย ของไม่เหลือ ไม่ใช้แล้ว เราต้องการที่จะทิ้งเสีย การทิ้งลงขยะบ้านเรานั้น ดิฉันถูกคุณพ่อพร่ำสอนตอนเด็กๆ ว่า ต้องทิ้งให้ถูกที่ ทิ้งให้ลงถังเสมอ แต่การทิ้งขยะ หรือ Mull (มั้ล) ที่เยอรมัน เค้าจะมีวิธีการทิ้งขยะให้ถูกที่และให้ถูกต้อง เริ่มจากตามถนนหนทาง หรือสถานีรถไฟ จะมีถังขยะ ซึ่งถูกแบ่งเป็น 3 ช่อง plastic (พลาสติก), paper (กระดาษ) และ rest mull (ของเหลือต่างๆ) การทิ้งขยะตามบ้านก็เช่นกัน ขยะจะถูกแบ่งจำพวกเช่น ตามละแวกบ้านจะมีถังขยะแบ่งเป็นประเภทๆ สีดำ ซึ่งเค้าเอาไว้ใส่ของเหลือต่างๆ (rest mull), ถังเขียว สำหรับต้นไม้เล็กๆ ที่ตายแล้ว (planzen) หรือของพวก bio ต่างๆ ถึงสีดำฝาเหลือง คือใส่พวกกระดาษต่างๆ (papier) และถังสีเหลืองจะใส่พวกพลาสติก (plastic) และจะมีถังอลูมิเนียมใส่พวกเศษเหล็ก กระป๋องน้ำอัดลม หรือกระป๋องต่างๆ การแยกเศษขยะก็เพื่อง่ายแก้การคัดเลือก และการคัดเลือกที่จะนำกลับมาใช้ใหม่ (recycle) และถ้าจะทิ้งแก้ว (glass) จะต้องนำไปทิ้งที่ๆ รัฐจัดไว้ โดยแยกตามลักษณะของสีของเนื้อแก้ว แก้วเนื้อสีขาว (weissglas), สีเขียว (grunglas), สีนำ้ตาล (braunglas) คุณจะต้องนำไปหย่อนให้ถูกที่นะค่ะ ตามสีของถังและป้ายที่บอกไว้ 
ถ้าวันไหนดิฉันทำปอเปี๊ยะทอดทาน น้ำมันในหม้อทอด ถึงเวลาที่จะต้องถูกทิ้ง น้ำมันที่เหลือนี้จะต้องนำไปทิ้งในที่ๆ รัฐจัดไว้ให้ ในครั้งแรกๆ อาจจะดูเป็นเรื่องยากที่ต้องมาแยกขยะ ถือว่าเป็นการสร้างภาระให้กับประชาชน แค่ทิ้งให้ลงถังขยะก็ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันยากแล้ว แต่ถ้ามาคิดดูให้ดี การจัดระเบียบแบบนี้สามารถช่วยลดการทำงานในการคัดแยกขยะ และทำให้ดิฉันรู้สึกว่าการจัดระเบียบในการทิ้งขยะ ซึ่งเค้าจะออกเป็นกฎหมายไว้ให้ใช้สามารถนำมาใช้ในการจัดระเบียบให้กับตนเองได้ด้วยในชีวิตประจำวันบ้านเราจะลองแยกขยะกันบ้างไหมค่ะ ^ ^

Resturant


ร้านอาหาร หรือที่เรารู้จักกันว่า "restaurant" การเข้าร้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนๆ ก็แล้วแต่ ก็เพื่อเข้าไปรับประทานอาหาร และลิ้มรสชาติของอาหารที่บางครั้งเราไม่สามารถทำทานเองได้ แต่มารยาทในการทานอาหารและวัฒนธรรมในการเข้าไปร่วมรับประทานอาหารนั้นต่างกัน ครอบครัวดิฉันและเพื่อนๆ ของดิฉันชอบที่จะหาอะไรอร่อยทานกัน การรับประทานอาหารนอกบ้านจึงไม่ใช่เรื่องแปลก พิธีรีตองจึงไม่มี เพียงแต่เลือกการแต่งตัวให้ถูกสถานที่ หรือกาลเทศะ ทางเยอรมันก็เช่นกัน การเข้าร้านอาหารไม่จำเป็นต้องใส่สูทผูกไทด์เสมอไป เพียงให้เหมาะสมกับบรรยากาศ โดยส่วนใหญ่ เค้ามักจองโต๊ะรับประทานอาหารไว้ล่วงหน้า อย่างน้อย 1 - 2 วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามากันเป็นหมู่คณะหรือมากกว่า 4 - 5 ท่านขึ้นไป เพื่อให้แน่ใจและมั่นใจว่าไปแล้วคุณจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน ร้านอาหารเยอรมันบางร้านจะตกแต่งตามบรรยากาศเยอรมันเก่าๆ มีตกแต่งตามเทศกาล เช่น วัน Easter day หรือ Ostern ในภาษาเยอรมัน เค้าก็จะมีไข่ มีไก่ ประดับประดา
ร้านขาประจำของดิฉันเห็นจะเป็น ร้าน Kartoffel Haus (ร้านบ้านมันฝรั่ง) เป็นที่ทราบกันว่าคนที่นี่ชอบทานมันฝรั่ง หรือ Kartoffel มันฝรั่งสามารถนำมาทำอาหารได้หลายอย่าง พิซซ่ามันฝรั่ง, พายมันฝรั่ง, มันฝรั่งทอด, มันฝรั่งอบ, มันฝรั่งบด และอาหารจานโปรดของดิฉัน คือ Jagerschnitzel หมูทอดกรอบ ราดน้ำเกรวี่ ซอสเห็ด เสริฟคู่กับมันฝรั่งทอดแบบเยอรมัน คือเค้าจะนำมันฝรั่งไปต้มให้สุกก่อนและหั่นชิ้นบางๆ ทอดน้ำมันน้อยๆ ในกระทะ กับแฮม และหัวหอมใหญ่ อร่อยมากๆ ไปร้านนี้ทุกครั้งดิฮันก็จะอดไม่ได้ที่จะสั่งอาหารจานนี้ บรรยากาศของร้านก็ไม่ได้หรูหราอะไร ออกจะเป็นแบบชนบท ชนบท มีโต๊ะ เก้าอี้เป็นไม้เก่าแก่ ฝาผนังร้านจะตกแต่งด้วยหัวหอมใหญ่, กระเทียม และรูปภาพโบราณ บนโต๊ะอาหารก็จะมีเทียนจุด ซึ่งดิฉันชอบมาก ร้านอาหารที่นี่เกือบทุกร้านมักจะมีเทียนจุดบนโต๊ะอาหาร และดิฉันก็รับเอาอารยธรรมนี้มาใช้ที่บ้าน เพราะคิดว่ามันโรแมนติกดี อยู่บ้านดิฉันจึงจุดเทียนทานข้าวทุกเย็น เพื่อสร้างบรรยากาศหวานชื่นให้กับคุณสามีและยังประหยัดค่าไฟอีกต่างหากค่ะ

วันเกิด


ดิฉันให้ความสำคัญกับวันเกิดมากวันหนึ่งของดิฉัน เป็นอีกวันหนึ่งที่ดิฉันจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวได้เฮฮา ร่วมกันกับเพื่อนสนิท พร้อมหน้าพร้อมตากัน ตั้งแต่ดิฉันยังเด็กคุณพ่อ คุณแม่ของดิฉันท่านจะไม่ลืมวันเกิดลูกๆ และจัดงานวันเกิดเล็กๆ และให้ของขวัญที่พวกเราอยากได้ 
สมัยดิฉันยังเด็ก ดิฉันก็จะดีใจมากๆ เมื่อวันเกิดมาถึง ตัวเลขที่มากขึ้นตามลำดับ 16 - 17 - 18 - 19 - 20 มันเหมือนกับการได้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ความที่จะได้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีอิสระ มีความรับผิดชอบขึ้นตามลำดับ ตอนดิฉันแต่งงานก็ปาเข้าไป 30 แล้ว แต่ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจเมื่อถึงวันเกิดก็ยังมีอยู่ แต่การนับเลขที่สูงขึ้น 31 - 32 - 33 - 34 - 35 มันเหมือนบอกให้เราคิดว่า โตแล้วนะ ต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ต้องเก็บเงิน เก็บทอง สร้างครอบครัว มันตอกยำ้เข้่าไปในวันเกิด ทุกวันนี้ดิฉันก็ยังมีงานเลี้ยงวันเกิดทุกปี ถึงแม้ว่าดิฉันจะไม่ค่อยสบายก็เถอะ
ถ้าดิฉันไม่จัดงานวันเกิดอะไรจะเกิดขึ้น คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากความคุ้นเคยที่สะสมมานาน คนต่างชาติเค้าก็มีความสุขและให้ความสำคัญกับวันเกิด แต่การให้ของขวัญ เค้าจะให้กันพอประมาณ พอมีน้ำใจ ช็อกโกแลต 1 กล่อง, ครีมโลชั่นทาผิว 1 ขวด อะไรทำนองนี้ และดิฉันก็ไม่ได้จัดงานวันเกิดเพื่ออยากได้ของขวัญเหมือนตอนยังเด็ก และดิฉันก็มีทุกอย่างแล้วที่ดิฉันอยากมี เพียงแต่ดิฉันอยากให้วันเกิดดิฉันสักครั้ง ให้สักครั้งดิฉันได้อยู่กับคนที่ไว้ใจและสร้างอนาคตไปกับดิฉัน ก็เท่านั้นก็พอ คงมีสักวันที่ดิฉันไม่มีงานวันเกิด

Golf


การหางานอดิเรกหรือการเล่นกีฬาเป็นการใช้เวลายามว่างให้เป็นประโยชน์อย่างดี ทำให้เราเพลิดเพลินและมีกิจกรรมทำ มีเหตุผลหลายอย่างที่นำไปสู่การเล่น golf ของดิฉัน
golf เริ่มจากเป็นกีฬาของคนชั้นสูงตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1500 แต่ปัจจุบัน golf เป็นกีฬาที่เล่นกันกว้างขวางในคนหมู่มากไม่จำกัดฐานะเท่าใดนัก 
ตั้งแต่อยู่เมืองไทย ดิฉันเกลียดการเล่น golf เป็นที่สุด ตากแดด หน้าดำ แต่ความที่สามีชอบเล่น golf เป็นชีวิตจิตใจ เธอเริ่มหัดเล่นกับคุณพ่อเธอตั้งแต่ยังเด็กจึงได้ติดการเล่น golf จนเป็นนิสัย golf เป็นอะไรที่ใช้เวลาในการเล่นอย่างมาก กว่าจะครบ 18 หลุม และการจะเล่น golf ให้ได้ดีก็ต้องมีการฝึกฝน และข้อสำคัญต้องมีสมาธิ ดิฉันด้วยความรักสามี และอากาศที่เยอรมันก็ไม่ได้ร้อนแบบแผดเผา และดิฉันก็ตั้งเป้าว่า ดิฉันและสามี เราจะเป็น golf family เพื่อที่จะได้มีกิจกรรมร่วมกัน ดังนั้นดิฉันจึงหัดตี golf 
เริ่มจากวันเกิดดิฉันเมื่อหลายปีก่อน คุณสามีเธอให้ชุด golf เป็นของขวัญ ดิฉันก็เร่ิมเข้า course ฝึกกับโปรชาวอังกฤษชื่อ Warren และทุกครั้งที่กลับไปเยี่ยมบ้าน ก็ได้คุณพี่ชายของดิฉันหาโปรให้ฝึกฝนอีกต่างหาก เพื่อช่วยในการเล่นให้ดีขึ้น ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ว่า แม้แต่ตำราที่มาจากที่เดียวกัน แต่ละคนก็จะมีสูตรและแบบฉบับของตัวเอง โปรฝรั่งจะเน้นลูกสวย ไปไกล แต่โปรไทยจะเริ่มกันตั้งแต่การยืนท่วงท่าให้สวยงามด้วยขณะตี ไม่ใช่แต่ตีไกลอย่างเดียว ดิฉันว่าเอกลักษณ์เฉพาะไทยเราก็ยังอยู่ในสายเลือดของเราอยู่ดี ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็เถอะค่ะ

Termin


Termin (เทอะมิน) หมายถึง การนัดหมายหรือนัดพบในภาษาเยอรมัน หรือบ้านเราจะรู้จักกันดีในภาษาอังกฤษว่า "appointment" สำหรับชาวยุโรปการนัดพบถือว่าเป็นส่ิงที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็ว่าได้ ไม่ว่าจะพบแพทย์ พบเพื่อนหรือการพบปะใดๆ กระทั่งคนในครอบคัวของเราก็เถอะค่ะ จะต้องมีการนัดกันล่วงหน้า ในวันและเวลาที่แน่นอน แรกๆ ดิฉันก็ไม่ใคร่จะคุ้นเคยกับการที่ต้องนัดกันทุกๆ เรื่องไป เพราะคนไทยเราบางครั้งถ้าสนิทชิดเชื้อกันแล้วอยากจะไปก็ไปอยากจะมาก็มา สะดวกเมื่อไรก็เมื่อนั้น ไม่มีการนัดล่วงหน้าให้ยุ่งยาก
ยอมรับเลยค่ะว่าตอนคบเพื่อนฝรั่งใหม่ๆ ดิฉันตกใจค่ะที่จะต้องนัดก่อนถึงจะพบกันได้ แต่เดี๋ยวนี้เข้าใจแล้วว่า เวลาเค้ามีค่าประการหนึ่ง ประกอบกับคนที่นี่เค้าจะไม่ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยให้ได้เห็นกันทั่วๆ ไป แต่คนที่นี่ร้านกาแฟจะเป็นอะไรที่นิยมและยอดฮิตมาก เช่นวันนึง เพื่อนดิฉัน นัดดิฉัน "พรุ่งนี้ บ่าย 3 โมง เธอว่างไหม เจอกันร้านกาแฟ Bormuth (Bormuth เป็นร้าน bakery ที่เก่าแก่มากๆ แห่งหนึ่ง ถือว่าเป็นร้านที่มีคุณภาพและอร่อย มีขายอยู่ทั่วไปในเยอรมันทุกหนทุกแห่ง) ว่าแล้วทานกาแฟหมดเธอก็ขอตัวไปทำธุระต่อ ดิฉันก็คาดหวังว่าเราจะไปเดินเล่น shopping ต่อ บางครั้งอยู่ที่นี่เราก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างไปในตัวนะค่ะ

ย้ายประเทศ


สามีดิฉันถูกย้ายมาทำงานที่ประเทศเยอรมันเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จึงหน้าชื่นตาบานรีบเก็บข้าวของย้ายประเทศในทันที
เยอรมันเป็นประเทศหนึ่งในทวีปยุโรปที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีประวัติศาสตร์อันเยือกเย็น แข็งแกร่ง ผู้คนในประเทศนี้จึงมีความหนักแน่น จนบางครั้งดิฉันต้องยอมรับว่ามันดูกระด้างไปบ้างก็ตาม
เมืองที่ดิฉันอยู่ชื่อ Darmstadt อยู่ทางตอนใต้ของ Frankfurt ประมาณ 30 กิโลเมตร ถ้าขับรถก็ประมาณ 20 - 25 นาทีก็ถึง
Frankfurt เป็นศูนย์รวมทางด้านการเงินของเยอรมันเชียวล่ะ ต่างกับ Darmstadt ที่เป็นเมืองเล็ก แต่มีศูนย์ดาวเทียมตั้งอยู่ 2 แห่ง ชื่อ Esoc และ Eumetsat ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของสามีดิฉันเอง
ส่วนแฟลตอันเป็นที่พักอาศัยของดิฉันกับสามีก็ไม่กันดาร อยู่ห่างจากแหล่ง shopping นิดเดียว ถ้าขับรถประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว มันช่วยดิฉันคลายเหงาในการจับเจ่าอยู่กับบ้านได้เยอะทีเดียว
เมื่อดิฉันมาถึง ดิฉันก็รู้สึกได้ทันทีว่า Darmstadt มีแต่ความเงียบเหงา เป็นเมืองเล็กเดินสักพักก็ทั่วหมดแล้ว ทุกคนที่นี่จะมีความสุขกับการได้อยู่กับครอบครัวและสัตว์เลี้ยง (ถ้ามี) ดังนั้นในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันพักจึงห้ามส่งเสียงดังเอะอะหนวกหูเพื่อนบ้านเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการดูดฝุ่น, เปิดวิทยุ โทรทัศน์เสียงดัง หรือการใช้รถตัดหญ้าก็ตาม และเมื่อใดที่คุณละเมิดกฎจะถูกเพื่อนบ้านร้องเรียนถึงตำรวจ คุณอาจจะต้องเสียค่าปรับแพงหูฉี่ ซึี่งลักษณะการใช้ชีวิตที่นี่มันตรงกันข้ามกับลักษณะคนไทยที่ว่าทำอะไรตามใจคือไทยแท้ยิ่งนัก และดิฉันซึ่งเป็นคนไทยเมื่อทำอะไรไม่ได้ดั่งใจก็เกิดอาการหงุดหงิด แต่ก็ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงนิสัยหลายอย่าง อาทิ การเข้านอนเป็นเวลา จะได้ไม่ลุกมาเดินกลางดึกรบกวนสามีและผู้อื่น เพราะว่าแฟลตที่ดิฉันอยู่จะเป็นพื้นไม้ปาร์เก้ เวลาเดินอาจทำให้ส่งเสียงดังได้ (เชื่อว่าคนที่เคยอยู่แฟลตในต่างประเทศคงจะเคยเจอประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนแน่นอน
ช่วงที่สนุกสนานที่สุดคือ หน้าเทศกาล อย่างเทศกาลคริสมาสต์จะมีตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงปลายเดือนธันวาคม ซึ่งร้านค้าภายในงานจะตกแต่งด้วยของคริสมาสต์ทั้งหมดไม่ว่าจะร้านค้า ร้านเกมหรือร้านอาหารก็ตาม ดิฉันได้เห็นผู้คนมากมายก็คราวนี้แหล่ะ ด้วยความสนุกสนานของงานบวกกับสีสันอลังการทำให้ดิฉันกลายเป็นลูกค้าประจำของงานเทศกาล ที่ต้องไปเดินตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งวันสุดท้ายของงานเลยล่ะคะ
แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปดิฉันก็เร่ิมชินกับการรักธรรมชาติ ความสงบ มีต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ให้เห็นมากมายตามท้องถนนทำให้อากาศบริสุทธิ์ ดิฉันจึงใส่ใจในเรื่องรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเร่ิมมีความเป็นคนชนบทมากกว่าคนในเมือง
หลายๆ ครั้งที่กลับไปเยี่ยมบ้านดิฉันเห็นคนมากหน้าหลายตาในห้างสรรพสินค้าชั้นนำใกล้บ้าน ทำให้ดิฉันเกิดความตกใจในปริมาณผู้คน ดิฉันเริ่มไม่ชินกับคนมากมายเหมือนก่อนแล้วล่ะค่ะ

แต่งงานกับฝรั่ง


คนไทยส่วนมากไม่นิยมให้ลูกหลานแต่งงานกับฝรั่ง เพราะถือว่าเป็นเรื่องแปลกและมองกันในแง่ลบมากกว่าแง่บวก คุณพ่อของดิฉันจึงไม่พอใจกับการตัดสินใจแต่งงานของดิฉัน มีเพียงคุณแม่ที่ให้กำลังใจและสนับสนุน โดยท่านบอกว่าชนทุกชาติ ทุกภาษามีทั้งคนดี และคนไม่ดี ดิฉันโชคไม่ดีที่ไม่เจอผู้ชายไทยที่เหมาะสม แต่มาเจอชาวต่างชาติที่ดี ที่มีจุดด้อยเพียงแค่เขาไม่ใช่คนไทยเท่านั้นเอง
ชีวิตดิฉันอยู่ในกรอบระเบียบของคุณพ่อ คุณแม่มาตลอด แต่ดิฉันเคยขออนุญาตท่านไว้ว่า ชีวิตนี้ดิฉันขอเลือกสามีเอง แล้วดิฉันก็ตัดสินใจแต่งงาน โดยมีคุณแม่อยู่เคียงข้าง ดูเสมือนว่าดิฉันจะขัดใจกับคุณพ่อ ดิฉันจึงพยายามทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามประเพณีไทยแบบไม่ให้น้อยหน้าใคร เริ่มด้วยการหมั้น การแต่งและมีงานเลี้ยงอย่างสวยงาม
ดิฉันอาจดูแปลกในสายตาคนอื่น แต่ดิฉันก็ไม่เคยผิดหวังกับการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตและก็มีความภาคภูมิใจในตัวของสามี เหมือนกับที่ภรรยาทุกคนภูมิใจแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนไทยก็เถอะ

แฟนฝรั่ง


คุณพ่อของดิฉันท่านเป็นคนหัวโบราณ ไม่ชอบฝรั่งเท่าใดนักและมีความคิดที่ว่าคนที่เป็นแฟนฝรั่งส่วนใหญ่จะต้องมาจากครอบครัวที่ไม่ค่อยดีนัก และด้วยเลือดไทยรักไทย ท่านจึงคาดหวังว่าดิฉันต้องแต่งงานกับคนไทย ความคิดนี้ถ่ายทอดมาทางดิฉันโดยตรง เพราะตัวดิฉันเองไม่เคยคิดอยากจะมีสามีฝรั่งเลยสักที
จนกระทั่งบุพเพสันนิวาสลิขิตให้ดิฉันรู้จักกันฝรั่งคนหนึ่งผ่านทางเพื่อนสนิทของดิฉัน เขาเป็นหนุ่มดัชต์ เกิดที่ฮอลแลนด์ แต่ย้ายตามครอบครัวมาเติบโตที่อังกฤษ ดิฉันเริ่มสนิทกับเขาหลังจากได้รับความช่วยเหลือในขณะที่ดิฉันกำลังลำบากอย่างสุดๆ
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในปีแรกๆ ที่ดิฉันพักอยู่กับบ้านของครอบครัวฝรั่งที่เขาเรียกกันว่า host family โดยส่วนใหญ่เขาจะดูแลเราเป็นอย่างดี พูดคุยด้วยเมื่อมีเวลา แต่ของดิฉันกลับตรงกันข้าง ดิฉันอาศัยอยู่กับสาวแก่ชาวอะไรดิฉันจำไม่ได้ ดิฉันถูกห้ามหลายอย่างเช่น ห้ามอาบน้ำหลัง 10.00 น. และให้ทานอาหารตามกำหนด ถึงแม้ว่าดิฉันจะไม่ชอบทานก็เถอะ และอื่นๆ อีกมากมาย จนความอดทนที่มีมากมายของดิฉันถึงกำหนด ดิฉันปรึกษากับทางโรงเรียนด้วยการโทรศัพท์ขออนุญาตย้ายบ้าน ซึ่งทางโรงเรียนก็อนุญาตและเล่าให้ฟังว่าเดือนนี้ host family คนนี้ผลัดเปลี่ยนนักเรียนมา 5 รายแล้ว ดังนั้นดิฉันก็ควรจะเป็นรายที่ 6 หลังจากนั้นทางโรงเรียนก็ได้แจ้งให้ทางแม่บ้านทราบ ทันทีที่ดิฉันกลับถึงบ้านในตอนเย็น เธอก็บอกให้ดิฉันขนย้ายของออกจากบ้านเธอก่อน 6.30 น. ซึ่งที่เมืองนอกถือว่าเช้ามาก ผู้คนเพิ่งจะเริ่มตื่นกันและบ้านที่ดิฉันอาศัยนั้นอยู่ห่างจากถนนหายกิโลเมตร แท็กซี่ก็ไม่ได้มีวิ่งอยู่ทั่วไป แถมดิฉันยังถูกห้ามไม่ให้ใช้โทรศัพท์ที่บ้านอีกด้วย เป็นเหตุให้ดิฉันต้องเดินเป็นกิโลๆ เพื่อหาตู้โทรศัพท์สาธารณะ มันทำให้ดิฉันรู้ซึ้งว่าชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ดิฉันพยายามโทรหาเพื่อนรุ่นพี่ที่รู้จักแต่ไม่มีใครรับสาย ดิฉันไม่มีทางเลือกและอยู่ในช่วงสับสน ดิฉันจึงเลือกที่จะโทรหาคุณ Raoul หนุ่มดัชต์ คุณแม่ของเขารับโทรศัพท์ ดิฉันจึงขอสายเขา อาจจะเช้าไปหน่อยแต่มันจำเป็น ดิฉันขอความช่วยเหลือจากเขา ซึ่งเขาก็ตอบรับโดยการรีบขับรถออกจากบ้านที่เมือง Surrey ทันทีที่ทำธุระส่วนตัวเสร็จ เพื่อมาช่วยดิฉันขนย้ายของไปบ้านครอบครัวใหม่ที่อยู่ในเมืองลอนดอน
เมื่อเช้าวันใหม่มาถึงสาวไทยอย่างดิฉันไม่ขอเป็นฝ่ายรับน้ำใจข้างเดียว ดิฉันจึงนัดวันตอบแทนบุณคุณโดยพาคุณ Raoul ไปรับประทานอาหารจีนย่าน soho
สำหรับครอบครัวใหม่ของดิฉันเป็นครอบครัวชาวอังกฤษ สามีมีร้านถ่ายรูป ภรรยาเป็นแม่บ้าน มีลูกสาว 3 ขวบกับ 1 ขวบ เป็นครอบครัวน่ารัก ดิฉันอยู่ได้ 3 เดือนได้รับการดูแลอย่างดี ตอนเย็นหลังเลิกเรียนดิฉันกลับบ้าน นั่งพูดคุย เสมือนเป็นคนหนึ่งในครอบครัวอันอบอุ่น แต่ความที่ดิฉันอยากมีอิสระและมีความเกรงใจทุกครั้งที่มีโทรศัพท์จากเพื่อนหรือคุณแม่จากเมืองไทย เวลาที่ดิฉันไม่อยู่บ้าน และบางครั้งดิฉันก็อยากจะไปเฮฮากับเพื่อนๆ หลังเลิกเรียนก็ยังเกิดความเกรงใจในการเข้า - ออกบ้าน
ด้วยความที่อยากมีอิสระในการไปนั่งห้องสมุดจนถึงเวลาปิดหรือเดินเล่นตามประสาดิฉันบ้าง ดิฉันจึงมีความคิดอยากเช่าแฟลตอยู่คนเดียว การหาแฟลตในตัวเมืองและในราคาที่พอใจ ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งดิฉันก็ได้รับความช่วยเหลือจากคุณ Raoul อีกครั้ง และทุกครั้งที่ดิฉันมีปัญหาดิฉันก็จะโทรขอความช่วยเหลือทุกครั้งไป ทำให้เกิดความใกล้ชิดกัน แต่ดิฉันก็ยังไม่ยอมรับว่าเป็นแฟนกันหรอก จนกระทั่งดูใจกันเป็นปีๆ ด้วยความที่เขาเป็นคนสุภาพ เรียบร้อยและเป็นคนดี มีน้ำใจ ตรงต่อเวลา เสมอต้นเสมอปลาย ดิฉันจึงยอมรับและเรียกเขาว่า "แฟน" แล้วคุณพ่อดิฉันจะยอมรับได้ไหมเนี๊ยะ

ของ sales


ของดี ของถูก และของฟรีไม่มีในโลก เป็นหนึ่งในหลายๆ คติสอนใจประจำตัวของดิฉัน ทำให้ดิฉันจับเทคนิคการลดราคาสินค้าตามห้างต่างๆ ในบ้านเราได้ว่าไม่ค่อยลดกันจริงๆ เท่าใดนัก หรือบางครั้งผู้ผลิตสินค้าจะผลิตสินค้ามาเพื่อขายลดราคาโดยตรงก็มีให้เห็นกันเยอะแยะ ซึ่งต่างจากฝรั่งที่เขาจะลดราคาจากสินค้าตามป้ายจริงที่มีอยู่ และจะลดลงมาอย่างน่าใจหาย บางครั้งดิฉันเคยเจอจาก 45 ปอนด์ ลดเหลือ 5 ปอนด์ก็เคยมี แต่ส่วนใหญ่จะลดอยู่ที่ 20 - 50%
สำหรับที่ลอนดอนคติประจำใจของดิฉันเกือบจะใช้ไม่ได้เลยเชียวค่ะ เพราะการลดราคาตามห้างผู้บริโภคจะได้สินค้าที่มีคุณภาพและราคาถูกแน่นอน แต่คุณจะมีคู่แข่งก็คือ เหล่า shopper ซึ่งหมายถึงพวกที่รักการ shopping เหมือนคุณนั่นแหล่ะค่ะ
ในปีหนึ่งจะมีเทศกาลลดราคาอยู่ 2 ครั้งคือ summer กับ winter ซึ่งห้างสรรพสินค้าได้กำหนดวัน, เวลา และการลดราคาที่แน่นอน เพื่อให้พวกเราไปยืนลุ้นอยู่หน้าประตูห้าง
แรกเริ่มเดิมที่ดิฉันก็ไม่คุ้นเคยการช็อปปิ้งของเซลล์แบบนี้เท่าใดนักแต่ก็ได้คุณเจี๊ยบเพื่อนรุ่นพี่ที่อยู่มานานแล้ว ชวนไปรอดักหน้าประตูห้างดังแห่งหนึ่ง (Harrods) เมื่อถึงเวลาประตูห้างเปิดทุกคนจะทยอยเข้าไปในร้านตรงไปยังเป้าหมายของแต่ละคน
ในครั้งนั้นเองที่ทำให้ดิฉันเริ่มเห็นถึงความแตกต่างในราคาและรู้ว่าของดีและถูกก็มีเหมือนกัน ดิฉันเริ่มมีความสุขกับการซื้อของลดราคา เพราะได้ทั้งของดีและราคาถูก ถึงทุกวันนี้ดิฉันจะไปอังกฤษเกือบทุกปี และจะเลือกไปช่วงเทศกาลลดราคาด้วย
ขอบอกอีกนิดว่าถ้าคุณอดใจรออีกสักระยะหนึ่งคุณก็จะได้ของที่ลดถูกลงไปกว่าเดิม ที่เขาเรียกันว่า last summer sales และ last winter summer sales อันเป็นการลดช่วงสุดท้ายของฤดูกาล แต่ดิฉันไม่ทราบว่าจะเหลือไซส์คุณอยู่อีกรึเปล่านะค่ะ

Tube


อยากจะให้เร็วกว่าเจ้าหางปลา ก็ต้องขึ้นรถไฟใต้ดิน หรือคนอังกฤษส่วนใหญ่ เค้าจะเรียกกันว่า Tube ที่หมายถึง หลอดยาว ดิฉันเคยเล่าถึงการใช้บริการเจ้ารถเมล์หางปลากันมาแล้วว่ามีดีขนาดไหน ครั้งนี้จึงอยากจะเล่าถึงความสะดวกสบายและรวดเร็วกว่าเจ้าหางปลาให้ผู้ที่นิยมความเร็วได้ตื่นตาตื่นใจกัน เจ้าความเร็วที่ว่านี่ก็คือ Tube หรือรถไปใต้ดินนั่นเองค่ะ
รถไฟใต้ดินเกิดขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1908 และมีทั่วถึงกันหมดภาพในเมืองลอนดอนในปีถัดๆ มา ดิฉันอยากให้บ้านเรามี Tube ที่ทั่วถึงกันหมดแบบนี้เร็วๆ จัง เพราะเชื่อว่าคนไทยจะไม่อยากขับรถกันอีกต่อไปเลย ด้วยเหตุที่เจ้า Tube นั่นสะดวกและรวดเร็วกว่าเป็นไหนๆ ดิฉันจะไปไกลแสนไกลแค่ไหน นั่งรถไฟ 10 นาทีก็ถึงแล้ว
การซื้อตั๋วโดยสารก็เหมือนซื้อตั๋วรถไฟลอยฟ้าบ้านเราแหล่ะค่ะ กดปุ่มทำตามรายการ โดยที่ลอนดอนแผนผังเมืองเขาจะแบ่งเป็นโซน 1 - 6 ราคาค่าบริการก็ไล่ตั้งแต่ถูกสุดโซน 1 ไปจนถึงแพงสุดโซน 6 ตามลำดับ ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถซื้อเป็นตั๋ว One day Ticket ที่สามารถเดินเข้าออกกี่รอบก็ได้ใน 1 วัน และยังใช้ร่วมกับรถเมล์และบริการขนส่งอื่นๆ ได้อีกด้วย
นอกจากนี้การขึ้นรถไฟใต้ดินยังได้เรียนภาษาอังกฤษเฉพาะทางอีกด้วย อาทิเช่น "mind the gap" แปลว่าระวังช่องว่างระหว่างสถานีกับรถไฟที่มีอยู่ ถ้าก้าวตกลงไปจะเกิดอันตรายได้ เป็นต้น และเขาก็จะบอกป้ายชื่อสถานีต่างๆ เหมือนรถไฟลอยฟ้าบ้านเราคงจะนึกภาพกันออกนะค่ะ อันนี้ก็ทำให้เรารู้ถึงสำเนียงที่แท้จริงในภาษาอังกฤษ อย่าง Knightbrigde (ไนท์-บริจด์) เป็นต้น
ขอบอกนิดนึงว่า ป้าย Knightbrigde นี้เป็นป้ายที่ดิฉันไปบ่อยมาก เพราะอยู่ใกล้กับห้างดังเก่าแก่ของอังกฤษ ชื่อห้าง Harrods ที่คนไทยรู้จักกันดี หรือจะเป็นป้าย Piccadally circus ซึ่งอยู่ใกล้ยังย่านไชน่าทาวน์ที่เขาเรียกกันว่า Soho นั้นเอง ที่ป้ายนี้มีร้านอาหารจีนมากมาย และมีร้านอร่อยและถูกอยู่ร้านหนึ่งชื่อร้าน Wong-ka จะมีซุปอร่อยและหมูแดงของโปรดดิฉันด้วยค่ะ

2554/04/05

รถเมล์หางปลา


ดิฉันชอบรถเมล์ที่เมืองลอนดอนในประเทศอังกฤษมากค่ะ ถึงขนาดริอ่านตั้งชื่อให้มันตามใจชอบว่า "รถหางปลา"
เจ้ารถหางปลา เป็นรถเมล์สีแดง 2 ชั้นและมีทางขึ้น - ลง ทางเดียวกัน โดยมีเสาคั่นกลางอยู่ 1 อัน เอาไว้สำหรับจับยึดเพื่อขึ้น - ลง หรือปรับใช้เป็นที่กระโดดขึ้น - ลงตามฉบับคนไทยได้อย่างสบาย ด้านท้ายมีบันไดสำหรับขึ้นไปนั่งข้างบน มีหน้าต่างปกติเหมือนรถเมล์บ้านเรา มีคนเก็บสตางค์ 1 คน จะยืนคล้องกล่องสตางค์ไว้ข้างหน้า และจะมีปุ่มกดอยู่ด้านข้างกล่อง แต่ส่วนใหญ่แล้วคนจะนิยมซื้อตั๋ว One day Ticket เป็นตั๋วที่ใช้ได้ตลอดทั้งวันและยังสามารถใช้บริการขนส่งได้ทุกประเภท ตั้งแต่รถเมล์ รถไฟใต้ดิน ราคาเดี๋ยวนี้ก็ประมาณ 3 ปอนด์กว่าแล้วล่ะค่ะ แต่ถ้าซื้อตั๋วรถไฟจะอีกราคาหนึ่งก็สามารถใช้ร่วมกันได้
ด้วยความประหยัดของดิฉัน ดิฉันก็จะซื้อตั๋วเดือน ซึ่งจะถูกกว่าตั๋ววันเมื่อคำนวณแล้ว สำหรับรถยนต์ดิฉันไม่เคยนึกถึงเลย
ดิฉันสนุกกับการใช้บริการรถเมล์มากกว่า เพราะไม่เบียดกันแน่นหนาและหายใจหายคอสะดวก จะว่าไปดิฉันก็ได้ชมวิวสวยๆ ไม่ว่าจะเป็นถนนหรือตึกรามบ้านช่องข้างทางอันเป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่อันสวยงามของที่นี่ด้วยค่ะ
ขอเม้าท์ให้ฟังอีกนิดว่า ดิฉันแอบเห็นคุณหญิงคุณนายในเมืองไทยเมื่อไปอังกฤษก็ยังต้องไปใช้บริการความเก๋และความสบายรวดเร็วของเจ้าหางปลากันถ้วนหน้าเลยค่า

สระผม


รู้ๆ กันอยู่ว่าสาวบ้านเราชอบเข้าร้านทำผมจนเป็นกิจนิสัย ซึ่งดิฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นที่รักความสบายเป็นหลัก เพราะค่าทำผมไม่ถึงกับแพงจนที่ใครๆ จะจ่ายกันไม่ได้นี่ค่ะ ตั้งแต่ดิฉันจำความได้ก็คุ้นเคยกับการเข้าร้านทำผม โดยมีคุณแม่พาไป ทั้งๆ ที่ร้านเสริมสวยในซอยบ้านของดิฉันมีอยู่เกือบ 10 ร้านในระยะทางเพียง 2 กิโลเมตร แต่เราก็มีร้านประจำอยู่แค่ 2 ร้านเท่านั้น คือ "ร้านบัวแก้ว" แล้วต่อมาก็ย้ายมาเป็น "ร้านเพื่อนสม" ที่เราใช้บริการกันมาร่วม 20 ปี
พอไปเรียนที่อังกฤษ ที่นี่แหล่ะดิฉันต้องสระผมเอง เพราะคุณแม่ของดิฉันกำชับนักกำชับหนาว่าจะต้องสระผมเอง เพราะค่าเงินที่แสนแพงนั่นเอง บางคนคิดว่าการสระผมเองจะไปยากอะไรหนักหนา แต่ถ้าคุณคุ้นเคยกับการให้คนอื่นสระผมให้คุณ อันนี้ล่ะคุณจะรู้ว่ามันน่ากลัวหนักหนา
ดิฉันจำได้แม่นยำถึงวันแรกของการสระผม ที่บ้านของ family ที่ดิฉันอยู่ ในห้องน้ำจะมีอ่างอาบน้ำ (bath) และมีฝักบัว (shower) อยู่ในอันเดียวกัน ดิฉันค่อยๆ หย่อนเท้าลงไปในอ่างลงไปยืนทั้งตัว และรวบรวมความกล้าเปิดฝักบัว ช่วงจังหวะนั้น ดิฉันเหมือนว่าชีวิตขาดหายไปช่วงจังหวะหนึ่ง โอ้โห! น้ำอุ่น เสมือนน้ำไม่อุ่น ดิฉันชักดิ้นชักงอเป็นตัวกุ้ง อดทนรีบสระผมจนเสร็จ เหมือนจะให้มันผ่านไปให้เร็วที่สุด หลังจากนั้นจนทุกวันนี้ 20 ปีผ่านไป ดิฉันสระผมเองทุกครั้ง แต่เมื่อกลับมาเยี่ยมบ้านครั้งใด ดิฉันก็อดไม่ได้ที่จะกลับไปใช้บริการร้านเสริมสวย "เพื่อนสม" เจ้าประจำของดิฉัน แต่ความรู้สึกกลับเปลี่ยนไป ดิฉันรู้สึกว่าเวลาแต่ละนาทีผ่านไปมันนานเสียเหลือเกิน กว่าจะเสร็จกระบวนการ
ถ้าให้ดิฉันเลือกอีกครั้งระหว่างการใช้ชีวิตเมื่อครั้งยังเด็กสาวกับปัจจุบัน ดิฉันขอเลือกที่จะทำอะไรด้วยตัวเองเหมือนปัจจุบันนี้ดีกว่าคะ

เรียนนอก


หลายปีก่อนยังไม่มีมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนอินเตอร์เนชั่นแนลให้เกลื่อนกลาดเหมือนปัจจุบัน การได้ผ่านเมืองนอกเมืองนาและได้ภาษาต่างชาติ เพื่อนำกลับมาใช้ในการทำงาน ถือว่าเป็นอะไรที่โดดเด่นมาก และดิฉันก็เป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่ได้รับโอกาสนั้น
คุณพ่อของดิฉันส่งดิฉันไปเรียนที่เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพราะหวังว่าดิฉันจะได้รับโอกาสที่มากกว่าคนอื่นๆ และดิฉันก็ไม่ทำให้ทุกคนในครอบครัวผิดหวัง ดิฉันตั้งใจเรียนอย่างดี แม้ว่าจะเครียดและอาเจียนทุกครั้งที่สอบ ดิฉันก็อดทนท่องหนังสือและขยันเรียนทุกอย่าง
ดิฉันต้องรีบเรียน รีบจบ พยายามลงทุกหน่วยกิตเท่าที่จะลงได้ ตามคำบอกของคุณพ่อ เพราะที่นั้นความที่ของแพงหนักหนา น้ำแต่ละขวด ทานก๋วยเตี๋ยวบ้านเราได้เป็นชามๆ เวลาผ่านไปดิฉันก็เร่ิมเคยชินกับการใช้เงินปอนด์อังกฤษ ถึงกระนั้นก็เถอะดิฉันก็ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อมากมาย และด้วยความที่ต้องอยู่คนเดียวทำให้ดิฉันนึกถึงเด็กสาวต่างจังหวัดในบ้านเราที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ เพราะคิดว่าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เป็นสถาบันที่ดีที่สุด ถ้าจบออกมา ก็จะได้ทำงานที่ดีๆ ซึี่งสภาพนั้นคงไม่ต่างอะไรกับดิฉันเวลานั้นเลย
บ่อยครั้งที่ดิฉันก็นั่งคิดถึงบ้านเป็นที่สุด คิดถึงอาหารไทย ถึงแม้ว่าที่นี่จะมีร้านอาหารไทย รสชาติดีอยู่หลายร้านก็เถอะ แล้วในที่สุดความภาคภูมิใจของดิฉันก็มาถึง เมื่อดิฉันไขว่คว้าปริญญาโทมา 2 ใบ ให้คุณพ่อ 1 ใบ ให้คุณแม่ 1 ใบ ตามที่คนไทยเข้าต้องการ คือใบปริญญา ณ วันนี้ถ้าบ้านเราไม่ถือเอาใบประกาศนียบัตรเป็นเกณฑ์ตัดสินคนเข้าทำงาน ดิฉันคงไม่มีวันนี้หรอกค่ะ
นอกเหนือจากปริญญาบัตรหรือใบประกาศนียบัตร ดิฉันได้รับประสบการณ์ต่างๆ มากมาย ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตดิฉันให้กล้าคิด กล้าแสดงออก และมีการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมมากขึ้น
ถึงกระนั้นทุกวันนี้ดิฉันก็ได้แต่ฝันว่า เด็กไทยน่าจะได้ทำอะไรที่เขาอยากทำ และเป็นอย่างที่เขาอยากเป็นบ้างก็เท่านั้นเองค่ะ

เกริ่นนำ


ดิฉันไม่อยากจะเรียกตัวเองว่าคุณหนูหรอกค่ะ แต่ความที่ตั้งแต่เล็กจนโต ดิฉันไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะมีคนรอบข้างทำให้มาตลอด จนกลายเป็นว่าฉันทำอะไรไม่เป็นเลย แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะค่ะ เมื่อชีวิตผกผันต้องมาอยู่เมืองนอก เมืองที่หลายคนคิดว่าจะได้ใช้ชีวิตเลิศหรู คุณหนูสุขสบาย แต่แท้จริงแล้วกลับตรงกันข้าม
ชีวิตเมืองนอกทำให้ต้องช่วยเหลือตัวเองในทุกๆ ด้าน ต้องปรับตัว ปรับนิสัยต่างๆ มากมาย
ดิฉันจึงหวังไว้ว่าสักวันหนึ่งดิฉันจะได้กลับมาอยู่บ้านของเราและนำประโยชน์พร้อมประสบการณ์ที่เคยพบเจอขณะอยู่เมืองนอกมาดัดแปลงและพัฒนาใช้ในบ้านเรา