2554/04/11

ค. ครูอดทน


Adele Ridder เป็นครูชาวเยอรมันคนแรกของดิฉัน เป็นผู้หญิงร่างเล็ก อายุประมาณ 40 กว่าๆ เธอเคยเป็นพยาบาลมาก่อนหน้าที่จะมาเป็นครู โดยเริ่มจากการสอนภาษาเยอรมันให้แก่ชาวต่างชาติ แบบตัวต่อตัว (private) ดิฉันรู้จักโดยการแนะนำจากเพื่อนของสามีดิฉัน ตั้งแต่ สิงหาคม ปี 1999 ดิฉันได้เริ่มเรียนภาษากับเธอและได้เรียนรู้ตั้งแต่เริ่มแรกเกี่ยวกับการออกเสียง ภาษาเยอรมันจะคล้ายๆ กับภาษาอังกฤษแต่ออกเสียงไม่เหมือนกัน และแถมยังมีตัวสระ ที่เค้าเรียกว่า "umlaut" (อุมเล่าท์) เมื่อวางลงบนตัวอักษรจะผันเสียงต่างกัน
Adele เธอเป็นคนแข็งแกร่งและอดทนคนหนึ่ง เธออดทนและพยายามทนสอนดิฉัน เพราะการออกเสียงให้คนฟังรู้เรื่องและถูกต้องนั่น ยากเหลือเกินสำหรับดิฉัน มีอยู่คำหนึ่ง Ich (อิงค์) แปลว่า ฉัน ดิฉันใช้เวลาถึง 2 เดือน กว่าจะออกเสียงให้เหมือนได้ มันเหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่าย "อิง" และมี "ค์" อยู่ในลำคอ ผสมกันจนเป็น Ich
ความอดทนของครูดิฉันทำให้ดิฉันเกิดความเลื่อมใส และทำให้ดิฉันมุ่งมั่นมากขึ้น แถมประหยัดเงิน และประหยัดเวลาได้อีก และต่อมาดิฉันก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งในเมืองที่ดิฉันอยู่ ดิฉันสามารถเดินไปโรงเรียนได้ การเรียนใน class เมืองนอก นักเรียนจะกล้าถามและกล้าแสดงออก ถึงแม้ดิฉันจะคุ้นเคยอยู่บ้าง ตั้งแต่สมัยเรียนที่อังกฤษ แต่ดิฉันก็ยังปลูกฝังตั้งแต่เด็กจนโต นิสัยเด็กไทยจะขี้อาย ไม่กล้าถาม เกรงใจ กลัวครูดุ ไปเรียนที่นี่แรกๆ ดิฉันจึงไม่กล้าซักถามในห้องเรียน Adele จึงเป็นครูสอนพิเศษให้กับดิฉัน อาทิตย์ละ 2 วัน ดิฉันจะถามเธอทุกอย่างที่ดิฉันสงสัย และเธอก็จะมีวิธีการสอนทำให้ดิฉันจำได้ หรือการวิเคราะห์คำบางคำที่เราไม่ทราบ เราสามารถแกะคำและความหมายที่เราไม่ทราบได้ โดยการวิเคราะห์คำทีละพยางค์
บางครั้งดิฉันไม่เข้าใจและเธอสอนเป็นภาษาเยอรมัน เธอก็จะอธิบายให้ดิฉันฟังเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งทำให้ดิฉันเข้าใจมากขึ้น ดิฉันเรียนที่โรงเรียนจนจบภาษาชั้นสูง Adele เป็นครูสอนพิเศษให้ดิฉันตลอด ปกติเธอจะมาสอนที่บ้าน แต่ระยะหลัง เราจะเปลี่ยนบรรยากาศย้ายไปเรียนตามร้านกาแฟ นั่งคุยกันบ้างเรียนบ้าง จะเธอกลายเป็นเพื่อนสนิทไป 4 ปีกว่าที่ดิฉันรู้จักกับเธอ ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น ดิฉันได้เรียนวัฒนธรรมและนิสัยคนเยอรมันจากเธอ และเธอก็จะพยายามเรียนรู้วัฒนธรรมของดิฉัน ซึ่งเธอจะสอดแทรกเข้าไปในเวลาเรียน เดี่ยวนี้ดิฉันไม่ได้เรียนภาษากับเธอแล้ว แต่เธอก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีของดิฉัน เราก็ยังนัดกันไปทานกาแฟกัน หรือนัดทานข้าวกัน เป็นบางครั้ง และเธอยังเป็นเพื่อนให้ดิฉันในยามที่ดิฉันมีคำถาม ถึงแม้ความคิดความอ่านเธอกับดิฉันจะคนละแบบ แต่เราก็เข้าใจกัน 
นี่แหละค่ะ ครูเยอรมัน และดิฉันก็ยกให้เธอเป็น ค.ครูอดทนของดิฉัน

2554/04/08

งาน


การหางานที่ดีในเมืองนอกทำนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นอกจากคุณจะต้องเรียนจบจากที่นี่ คุณถึงจะมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น การทำงานถือเป็นการหาประสบการณ์อย่างหนึ่ง การเริ่มจากงานที่ดีเลยนั้นคงเป็นเรื่องยาก ดิฉันจึงคิดว่าเราจะต้องเริ่มต้นจากงานอะไรซักอย่าง แล้วสะสมประสบการณ์เพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้งานที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ว่าไปแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
พอดิฉันจะพูดภาษาเยอรมันได้บ้างดิฉันก็เกิดอยากจะทำงาน งานแรกของดิฉัน คืองานห่อของขวัญในช่วงคริสมาสต์ ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งของที่นี่ เพราะด้วยความรักสายงาน ดิฉันจึงว่างานนี้คงเหมาะสำหรับดิฉัน ดิฉันถูกส่งไปทำงานที่แผนกเครื่องสำอางและน้ำหอม ตามสัญญา 1 เดือน ช่วงคริสมาสต์ คงไม่ต้องบอกว่าลูกค้าจะมายมายขนาดไหน เพราะเวลาคนเรานึกอะไรไม่ออก ก็จะนึกถึงน้ำหอมเป็นอันดับแรก ช่วงโอกาสนี้น้ำหอมจึงขายดีนักหนา ด้วยความที่นิสัยส่วนตัว จะไม่ชอบรอ และไม่ชินกับการรออะไรนานๆ เพราะบ้านเราจะบริการรวดเร็ว และยอดเยี่ยมที่สุด การรอจึงไม่ใช่ความเคยชินของดิฉัน ในทางกลับกัน ดิฉันจึงคิดว่าลูกค้าคงไม่อยากจะมารอนานเหมือนกัน ดิฉันมีเพื่อนร่วมงานอีก 1 คน เป็นคนชาวเตอร์กี (Turkey) อายุประมาณ 18 เธอจะทำงานช้ามากๆ เสมือนว่าลูกค้าจะรอก็รอไปเถอะ และเมื่อเธอเห็นดิฉัน พยายามทำงานอย่างรวดเร็ว และสวยงาม ปัญหาต่างๆ มากมายจึงตามมา การไม่ชอบหน้าดิฉันจึงเกิดขึ้น ทั้งที่ดิฉันพยายามในสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ดีที่สุด แต่ก็ไม่วายเกิดการกลั่นแกล้งในการทำงานในแผนก ดิฉันต้องยืนทำงานตั้งแต่ 11.00 ถึง 20.00 น. พัก break 1 ชั่วโมง ต้องห่อของขวัญจนมือเจ็บ และจะต้องโดนเพื่อนร่วมงานรวมกันไม่ชอบหน้า คนที่ดีกับดิฉันก็ไม่กล้าเข้าใกล้ดิฉัน คนไม่เคยคุยกันก็พาลไม่ชอบไปด้วย จะมีแต่เจ้านายที่รักดิฉัน และเข้าใจดิฉัน ดิฉันไม่เคยคิดว่าทำงานกับผู้หญิงที่นี่จะยุ่งยากขนาดนี้ การทำงานหนักบวกกับความเครียดและร่างกายอันอ่อนแอของดิฉัน ดิฉันจึงทำงานได้เพียง 7 วัน ดิฉันจึงล้มป่วยลง ดิฉันไปขอลาออกจากงาน และนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีก 2 อาทิตย์ ทานยาต่อเนื่องอีก 1 ปี ประสบการณ์นี่ไม่เคยลืมไปจากดิฉัน ชีวิตการทำงานและความเป็นอยู่ที่นี่จะต้องอดทน สารพัด 
ดิฉันอาจจะต้องใช้เวลาเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับสภาพและสถานการณ์ของแต่ละที่ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับดิฉันที่จะเปลี่ยนแปลง

Beer


เมื่อพูดถึงเยอรมัน ต้องพูดถึง German Beer เป็นอะไรที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ดิฉันคิดอยู่เสมอว่า เบียร์เป็นอะไรที่เหมาะสำหรับผู้ชาย และผู้หญิงไทยดูจะไม่เหมาะนักสำหรับการนั่งดื่มเบียร์ 
ที่เยอรมันเมื่อถึงเวลา summer ผู้คนจะมาพากันนั่งดื่มเบียร์ หรือที่เรารู้จักกันดีว่า Beer garden ซึ่งจะมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ร้านบางร้านจะผลิตเบียร์เป็นของตัวเองกันเลยทีเดียว เช่นเดียวกับร้านนี้ Rat Keller เป็นร้านเบียร์ที่มีชื่อใน Darmstadt เค้าผลิตเบียร์เองและมีหลากหลายชนิดให้เลือก เช่น Pilz, Apfel Bier, Dunkel Bier etc. พอตกบ่ายๆ หลังเลิกเรียน เพื่อนๆ ของดิฉันก็จะชวนกันไปนั่งร้านนี้ เพราะอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก
เริ่มแรกดิฉันไม่เคยดื่มเบียร์ และรู้สึกว่าเบียร์มันขม, ดิฉันเห็นผู้หญิง คนแก่ คนหนุ่มสาว นิยมดื่มเบียร์กัน การดื่มแอลกอฮอล์ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อเพื่อนดิฉันทุกคนพากันดื่ม เข้าเมืองตาหลิวก็ต้องหลิวตาตาม ความเป็นกุลสตรีดิฉันจึงหายไป ดิฉันจึงเริ่มหัดดื่มเบียร์ เพื่อเข้าสังคม Pilz เป็นเบียร์ที่ดิฉันลองหัดดู รสชาติกลับไม่ขมอย่างที่คิด อร่อย เย็นๆ เข้ากับบรรยากาศ summer ร้อนๆ ซึ่งสมควรอย่างยิ่งที่จะดื่มเบียร์ บางคนอาจจะนึกไปถึงไอติม ก็ช่วยคลายร้อนได้ ใช่ค่ะ แต่ตอนนี้เรากำลังพูดถึงเบียร์ เพราะฉะนั้น Summer + เบียร์เย็นๆ เป็นอันว่าเข้ากัน ทุกๆ Summer ดิฉันและเพื่อนๆ ก็จะนัดกันไปนั่งร้านนี้เหมือนๆ ทุกหน้าร้อน เค้าจะจัดโต๊ะ ประมาณ 10 โต๊ะ เป็นโต๊ะไม้ยาว ตั้งอยู่นอกร้าน และมีร่มกางกันแดดเป็นจุดๆ จากที่ดิฉันเคยเกลียดและกลัวแดด ก็ไม่กลัวอีกต่อไป จากดื่มเบียร์ไม่เป็น ก็เริ่มชักจะชอบเข้าแล้ว ต่อไปจะเป็นอะไรต่อไปล่ะค่ะเนี่ย

2554/04/07

Gluhwein


การดื่มไวน์ เป็นการดื่มเพื่อเข้าสังคมก็อย่างหนึ่ง หรือจะดื่มเพื่อสุขภาพให้เลือดสูบฉีด หรือบางทีอาจจะดื่มด้วยความเท่ก็แล้วแต่ ดิฉันได้เรียนด้านการดื่มไวน์ตั้งแต่ครั้งเรียนด้านอาหารที่เมืองไทย เช่น ไวน์แดงดื่มทานคู่กับพวกเนื้อสัตว์ และไวท์ขาวก็ควรคู่กับอาหารประเภทปลา แป้ง Seafood หรือผู้หญิงบางคนนิยมดื่ม Rosa' ก็อร่อยดี ด้วยความคิดที่ว่าเมื่อสั่งอหารก็ควรจะมีไวน์ดื่มควบคู่ไปด้วย นอกจากจะดูเข้ากันดีแล้ว การดื่มแอลกอฮอล์นิดหน่อย ก็ช่วยให้เลือดหมุนเวียนดี 
ระยะหลังดิฉันเริ่มมีอาการความดันตำ่ ดิฉันจึงหันมาดื่มไวน์ทุกวัน วันละ 1 แก้ว เพื่อสุขภาพ ไวน์ก็มีหลายแบบหลายประเภท คุณอยากทราบรายละเอียดก็ต้องไปอ่านหนังสือด้านไวน์ดูล่ะค่ะ ถ้าคุณอยากจะทราบลึกๆ โดยส่วนตัวแล้วดิฉันจะชอบดื่ม Red wine (dry) ซึ่งจะไม่หวานมากนัก การดื่มไวน์ในยุโรปถือเป็นเรื่องธรรมดา เสมือนเด็กดื่มนม ไวน์จึงมีราคาไม่แพงนัก แล้วแต่คุณภาพ ยี่ห้อ ประเทศผลิต ฤดูเก็บเกี่ยว ปีพ.ศ. ไวน์ถูกๆ อร่อยๆ ก็มี ตั้งแต่ 3 - 4 ยูโร ขึ้นไป แต่ที่ดิฉันเห็นจะแปลกหูแปลกตาไปก็ตอนช่วง Christmas เค้าจะจัด Weihnauhtsmarkt (ตลาดคริสมาสต์) ซึ่งจะมีกันทั่วๆ ไปทุกๆ เมือง จะมีร้านอาหารหลายๆ ร้านมาขาย แต่ที่สำคัญที่สุด คนจะนิยมมาดื่ม Gluhwein (กลูไวน์) เป็นไวน์ชนิดหนึ่ง แต่จะเป็นไวน์ร้อน ร้อนเหมือนน้ำชานี่แหละค่ะ แต่เป็นไวน์ รสชาติเป็นอย่างไรบอกไม่ถูกค่ะ คงต้องลองมาชิมกัน หรือจะเอาไวน์ไปลองต้มชิมดู ก็คงจะไม่เหมือนเท่าใดนัก เมื่ออากาศหนาวเย็น ผู้คนจึงนิยมออกมาดื่ม Gluhwein กัน สามารถช่วยคลายความหนาวได้ดีทีเดียว แก้วนึงก็แค่ 3 ยูโร เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่คนจะนิยมยืนดื่มนอกร้านกันด้านนอก รับความหนาวกันเต็มๆ โดยจะมีโต๊ะกลมเล็ก สำหรับวางอาหารและแก้วไวน์ หรือจะเป็นโต๊ะเหลี่ยมยาว สำหรับผู้ที่มากันเป็นกลุ่มใหญ่ แก้วจะเสริฟด้วยแก้ว เซรามิค น่ารักลายคริสมาสต์ โดยจะมีการมัดจำแก้ว 3 ยูโร เวลาคุณนำแก้วไปคืน คุณก็จะได้สตางค์คืน หรือบางคนอยากจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก เพราะความน่ารักของแก้ว ก็ต้องเสียค่ามัดจำไป 
หน้าหนาวดิฉันไม่หนาวอีกต่อไปแล้ว เพราะดิฉันมี Gluhwein คลายหนาวค่ะ

Cafe'


ร้านกาแฟมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง เรียกกันว่าทุกๆ มุมถนน บางถนนมีติดกัน 5 - 6 ร้านก็มี จนบางครั้งดิฉันแถบจะอดคิดไม่ได้ว่าจะดื่มอะไรกันนักหนา ดิฉันเริ่มรู้จักการดื่มกาแฟครั้งแรกจากที่อังกฤษ จริงๆ แล้วดิฉันควรจะไปรู้จักการดื่มชาจากที่นั่นซะมากกว่า การดื่มชาหรือกาแฟก็แล้วแต่ นอกจากจะดื่มเพื่อรสชาติ ก็ยังดื่มดำ่บรรยากาศด้วย ร้านชาหรือกาแฟจึงได้ตกแต่งบรรยากาศอย่างเก๋ไก๋ บางทีก็มีเป็นเคาน์เตอร์ไว้ยืนดื่ม สำหรับผู้ที่นั่งทำงานมาทั้งวัน คงจะเหมาะเป็นที่สุด บางทีก็มีที่นั่งเป็น sofa ให้นั่งสบาย นั่งแล้วแทบไม่อยากลุกเลย และมีการตกแต่งร้านประดับประดาตามเทศกาล เช่นกัน เช่น หน้า Christmas เค้าก็จะมีบรรยากาศแบบ Christmas ตกแต่ง มีลูกบอล Christmas หรือ ต้น Christmas ตกแต่ง ให้ดื่มดำ่บรรยากาศกัน
ดิฉันเริ่มดื่มกาแฟก็เนื่องจากแฟนพี่ชายของดิฉัน พี่เจี๊ยบ เธอไปเยี่ยมดิฉันที่อังกฤษ และเธอจะชอบนั่งร้านกาแฟ ดิฉันก็ต้องพาเธอไปนั่งทุกวัน และดิฉันก็สั่งแต่น้ำส้มคั่นทุกครั้งไป เธอก็เลยแนะนำให้ดิฉันดื่ม cappuccino ดิฉันจึงเริ่ม จากดื่ม cappuccino ใส่น้ำตาล 5 ซอง เพราะดิฉันรู้สึกมันขมซะเหลือเกิน จากนั่นก็เริ่มพัฒนาลดความหวานจาก 5 เป็น 4 - 3 - 2 - 1 จนเดี่ยวนี้ดิฉันดื่มกาแฟจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว และจะใส่แต่ diet sugar แทนเพื่อเลี้ยงน้ำตาล สิ่งที่ดิฉันสงสัยมานานว่าทำไม คนถึงชอบนั่งร้านกาแฟ และต่อมาดิฉันก็ได้คำตอบว่า เนื่องจากอากาศที่นี่จะหนาวซะเป็นส่วนใหญ่ การดื่มชา กาแฟถือเป็นการเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย หรือจะเอาไว้พบปะเพื่อนฝูง นั่งคุยกัน เพราะราคาของกาแฟ 1 ถ้วยจะอยู่ประมาณ 2 - 2.5 ยูโร หรือมากกว่า จะแล้วแต่ความหรูของร้าน ถ้าเป็น Latte machiato คือกาแฟใส่นมมากๆ นั่นแหละค่ะ ดิฉันจะโปรดมาก ราคาก็จะประมาณ 2.5 - 3.0 ยูโร หรือจะเป็น Milch kaffee  กาแฟใส่นมแต่เสริฟในถ้วยแก้วใหญ่ คล้ายๆ กับถ้วยซุป ราคาต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับชนิดและแบบของกาแฟ หรือถ้าเป็นหน้า Summer เค้าก็จะมี Eis kaffee คือกาแฟใส่ไอศรีม อร่อย หวาน มัน หรือจะเลือกเป็น Eis chocolate คือชอกโกแลตใส่ไอศรีม สำหรับผู้ที่ไม่ชอบกาแฟ ซึ่งก็อร่อยไม่แพ้กัน เพราะฉะนั้นการนัดกันร้านกาแฟ จึงถูกกว่านัดรับประทานอาหารกัน ซึ่งจะเสียเงินมากกว่านั่นแหละค่ะ ร้านกาแฟจึงขายดี บวกกับมี cake ขนมพายต่างๆ ให้ทานคู่กัน cake ยอดนิยมเห็นจะเป็น Sacher torte ต้นตำรับมากจากเมือง Wien เป็นคล้ายๆ กับเค้กชอกโกแลตนะค่ะ อ้าว! วันนี้คุณไปร้านกาแฟแล้วรึยังค่ะ?

Park


สวนสาธารณะหรือที่ดิฉันเรียกจนติดปากว่า park ด้วยเหตุผลที่ว่ามันสั้นและเรียกง่ายดี park มีอยู่ทั่วๆ ไปทั้งในเมืองและรอบเมือง ใน Darmstadt ทุกๆ park จะร่มรื่นมีต้นไม้ใหญ่มากมาย ในวันอาทิตย์ห้างร้านจะหยุดกัน เงียบและเหงา สามีดิฉันจึงชวนพากันไปเที่ยว park ไปเดินเล่น ถือว่าเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง
park ที่เราไปเดินกันประจำ อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองนัก ขับรถประมาณ 5 นาทีก็ถึง ชื่ออะไรดิฉันก็จำไม่ได้ มีสระน้ำกว้างมาก เป็นธรรมชาติ จะมีพวกเป็ดว่ายลอยอยู่ในน้ำ พากันว่ายเป็นฝูง หน้าหนาว ต้นไม้จะถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งจาก snow น้ำในสระก็กลายเป็นนำ้แข็ง ผู้คนก็พากันมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งกันในบ่อน้ำนี้ ส่วนหน้าร้อนก็จะมีเรือให้เช่าถีบกัน
ดิฉันชอบที่จะเห็นผู้คนเดินมากันเป็นคู่ คนแก่คนเฒ่าเดินจูงมือกันมาเดิน หรือครอบครัว หนุ่มสาวจะเข็นรถเข็นพาลูกน้อยออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ และเค้าก็จะมีสนามเด็กเล่น ที่พื้นเป็นทราย ดูแล้วเป็นอะไรที่เหมาะกับเด็กมาก ดิฉันและสามีจะพากันเดินรอบ park เดินครั้งแรกเล่นเอาดิฉันเหนื่อย เพราะดิฉันไม่คุ้นกับมันสักเท่าไหร่ ดิฉันก็เดินไปบ่นไปกว่าจะพาตัวดิฉันเดินได้ครบรอบได้ แต่ก็แปลก ถ้าดิฉันเดินตามห้างล่ะก็ ถึงไหนถึงกัน แต่เมื่อคนเราทำอะไรประจำก็จะติดเป็นนิสัย ดิฉันจะไปเดินกันเกือบจะทุกวันอาทิตย์ คือถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ ดิฉันและสามีก็จะชอบเดิน park ได้เห็นธรรมชาติและได้รับอากาศบริสุทธิ์ เดี๋ยวนี้ดิฉันกลับชอบเดินในสวนสาธารณะ
ถ้าเวลา summer พวกเพื่อนๆ ของดิฉันก็จะนัดกันไป picnic ใน park ทำอะไรไปทานกัน เอาเสื่อไปปูนั่ง เอาน้ำดื่ม นั่งคุยกัน ดิฉันก็จะรีบจับจองใต้ร่มไม้ เพราะความที่ดิฉันเกลียดแดดเป็นชีวิตจิตใจ แต่อากาศที่นี่ร้อนก็ไม่ได้ร้อนมากมาย ประมาณว่า 25 - 27 องศา นั่งกำลังสบายๆ ส่วนเพื่อนฝรั่งของดิฉันก็จะพากันนั่งอาบแดด ไปในตัว พวกเธอจะชอบให้ผิวเป็นสีแทน เค้าว่ากันว่ามันส่งผลถึงการมีสุขภาพดี และได้รับ vitamin A,D จากแสงแดดอีกต่างหาก แต่สำหรับดิฉันไม่นิยมกับเค้าด้วยหรอกค่ะ ดิฉันขอแบบเฉียดๆ จะดีกว่า จะเห็นว่า park มีแต่ประโยชน์และผลดีกว่าเดินห้างและไม่ต้องเสียเงินซื้อของ และสุขภาพดีอีกค่ะ

2554/04/06

ถังขยะ


ของเน่า ของเสีย ของไม่เหลือ ไม่ใช้แล้ว เราต้องการที่จะทิ้งเสีย การทิ้งลงขยะบ้านเรานั้น ดิฉันถูกคุณพ่อพร่ำสอนตอนเด็กๆ ว่า ต้องทิ้งให้ถูกที่ ทิ้งให้ลงถังเสมอ แต่การทิ้งขยะ หรือ Mull (มั้ล) ที่เยอรมัน เค้าจะมีวิธีการทิ้งขยะให้ถูกที่และให้ถูกต้อง เริ่มจากตามถนนหนทาง หรือสถานีรถไฟ จะมีถังขยะ ซึ่งถูกแบ่งเป็น 3 ช่อง plastic (พลาสติก), paper (กระดาษ) และ rest mull (ของเหลือต่างๆ) การทิ้งขยะตามบ้านก็เช่นกัน ขยะจะถูกแบ่งจำพวกเช่น ตามละแวกบ้านจะมีถังขยะแบ่งเป็นประเภทๆ สีดำ ซึ่งเค้าเอาไว้ใส่ของเหลือต่างๆ (rest mull), ถังเขียว สำหรับต้นไม้เล็กๆ ที่ตายแล้ว (planzen) หรือของพวก bio ต่างๆ ถึงสีดำฝาเหลือง คือใส่พวกกระดาษต่างๆ (papier) และถังสีเหลืองจะใส่พวกพลาสติก (plastic) และจะมีถังอลูมิเนียมใส่พวกเศษเหล็ก กระป๋องน้ำอัดลม หรือกระป๋องต่างๆ การแยกเศษขยะก็เพื่อง่ายแก้การคัดเลือก และการคัดเลือกที่จะนำกลับมาใช้ใหม่ (recycle) และถ้าจะทิ้งแก้ว (glass) จะต้องนำไปทิ้งที่ๆ รัฐจัดไว้ โดยแยกตามลักษณะของสีของเนื้อแก้ว แก้วเนื้อสีขาว (weissglas), สีเขียว (grunglas), สีนำ้ตาล (braunglas) คุณจะต้องนำไปหย่อนให้ถูกที่นะค่ะ ตามสีของถังและป้ายที่บอกไว้ 
ถ้าวันไหนดิฉันทำปอเปี๊ยะทอดทาน น้ำมันในหม้อทอด ถึงเวลาที่จะต้องถูกทิ้ง น้ำมันที่เหลือนี้จะต้องนำไปทิ้งในที่ๆ รัฐจัดไว้ให้ ในครั้งแรกๆ อาจจะดูเป็นเรื่องยากที่ต้องมาแยกขยะ ถือว่าเป็นการสร้างภาระให้กับประชาชน แค่ทิ้งให้ลงถังขยะก็ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันยากแล้ว แต่ถ้ามาคิดดูให้ดี การจัดระเบียบแบบนี้สามารถช่วยลดการทำงานในการคัดแยกขยะ และทำให้ดิฉันรู้สึกว่าการจัดระเบียบในการทิ้งขยะ ซึ่งเค้าจะออกเป็นกฎหมายไว้ให้ใช้สามารถนำมาใช้ในการจัดระเบียบให้กับตนเองได้ด้วยในชีวิตประจำวันบ้านเราจะลองแยกขยะกันบ้างไหมค่ะ ^ ^